บันทึกการเรียนครั้งที่ 12
วันที่ 2 / พฤศจิกายน / 2563
วันนี้อาจารย์ให้แต่ละกลุ่มนำเอาโบชัวมาเพื่อที่จะนำมาทำกิจกรรมอาจารย์ให้จับกลุ่มสองโรงเรียนอยู่ด้วยกันจากนั้นอาจารย์ก็ได้ถามว่าเราอยากได้เรื่องอะไรที่เราสนใจกลุ่มดิฉันได้เรื่องเครื่องใช้ไฟฟ้าจากนั้นอาจารย์ก็ได้ให้เราสร้างเป็นหนังสืออะไรเอ่ยโดยเอารูปของโบชัวมาตัดแปะแล้วเขียนว่าอะไรเอ่ยเป็นเป็นของใช้แล้วก็มีรูปเช่น รูปตู้เย็น
หลังจากนั้นอาจารย์ก็ได้พูดถึงที่มาของ หลักสูตรปฐมวัย
การจัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศ
ประเทศไทยมีการจัดการศึกษาปฐมวัยมานานแล้ว โดยเจ้านายเชื้อพระวงศ์เข้ามาเรียนในโรงเรียนราชกุมารี ส่วนชาวบ้านก็นิยมนำลูกไปฝากที่วัด ต่อมาเมื่อมีการจัดการศึกษาอย่างเป็นระบบจึงมีชั้นมูลศึกษาเกิดขึ้น และมีโรงเรียนราษฎรที่จัดการศึกษาปฐมวัย ได้แก่โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย โรงเรียนราชินี และโรงเรียนมาร์แตร์เดอีได้เริ่มเปิดการสอนแผนกอนุบาลขึ้นโดยนำวิธีการสอนแบบเฟรอเบลและมอนเตสเซอรี่มาเป็นตัวอย่าง
ในยุคหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข รัฐบาลได้แต่งตั้งโรงเรียนอนุบาลของรัฐ แห่งแรกในปี พ.ศ.2483 คือ โรงเรียนอนุบาลละอออุทิศ และยังคงดำเนินการสอนอยู่จนปัจจุบันและตั้งแต่ปี พ.ศ.2498 เป็นต้นมา รัฐบาลเริ่มมีนโยบายส่งเสริมให้โรงเรียนเอกชนเปิดการสอนระดับอนุบาลศึกษาขณะเดี่ยวกันหน่วยงานต่างๆ ก็เริ่มเข้ามามีส่วนร่วมจัดการศึกษาในระดับนี้มากยิ่งขึ้น ปัจจุบันประเทศไทยมีการจัดเตรียมความพร้อมให้เด็กในวัยนี้หลากหลายรูปแบบ มีทั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบการศึกษาโดยตรงและหน่วยงานอื่นๆร่วมกันดำเนินงาน
ในยุคหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข รัฐบาลได้แต่งตั้งโรงเรียนอนุบาลของรัฐ แห่งแรกในปี พ.ศ.2483 คือ โรงเรียนอนุบาลละอออุทิศ และยังคงดำเนินการสอนอยู่จนปัจจุบันและตั้งแต่ปี พ.ศ.2498 เป็นต้นมา รัฐบาลเริ่มมีนโยบายส่งเสริมให้โรงเรียนเอกชนเปิดการสอนระดับอนุบาลศึกษาขณะเดี่ยวกันหน่วยงานต่างๆ ก็เริ่มเข้ามามีส่วนร่วมจัดการศึกษาในระดับนี้มากยิ่งขึ้น ปัจจุบันประเทศไทยมีการจัดเตรียมความพร้อมให้เด็กในวัยนี้หลากหลายรูปแบบ มีทั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบการศึกษาโดยตรงและหน่วยงานอื่นๆร่วมกันดำเนินงาน
1. นโยบายของการศึกษาปฐมวัยในอดีต
นโยบายของการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทยตั้งแต่อดีตสาสมรถศึกษาได้จากแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติในแต่ละสมัยที่ผ่านมาได้ดังนี้
1.1 แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติฉบับที่ 3 (พ.ศ.2515 - 2519) ระบุไว้ว่า จะปรับปรุงคุณภาพของโรงเรียนอนุบาลของรัฐให้ดีขึ้น เพื่อเป็นตัวอย่างแก่เอกชนละมีการเปิดโรงเรียนอนุบาลในอำเภอใหญ่ที่ความเจริญทางเศรษฐกิจและมีประชากรหนาแน่น
1.2 แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2520 - 2524) ระบุไว้ว่า การศึกษาอนุบาลนั้นรัฐจะไม่ดำเนินการแต่จะกำหนดระเบียบในการจัดการศึกษาอนุบาลให้เป็นประโยชน์ต่อการศึกษามากยิ่งขึ้น ซึ้งสอดคล้องกับแผนการศึกษาแห่งชาติฉบับพุทธศักราช 2520 ที่มีรายละเอียดระบุไว้ ดังนี้
“16. รัฐพึงเร่งจัดและสนับสนุนการอบรมเลี้ยงดูเด็กในวัยก่อนประถมศึกษาโดยรัฐจะสนับสนุนให้ท้องถิ่นและภาคเอชนจัดให้มากที่สุด สำหรับการจัดการศึกษาระดับนี้ของรัฐจะจัดเพียงเพื่อเป็นตัวอย่างและเพื่อการค้นคว้าวิจัยเท่านั้น”
“30. การศึกษาระดับก่อนประถมศึกษาเป็นการศึกษามุ่งอบรมเลี้ยงดูเด็กก่อนการศึกษาภาคบังคับ เพื่อเตรียมให้มีความพร้อมทุกด้านดีพอที่จะเข้ารับการศึกษาต่อไป การจัดสถานศึกษาระดับก่อนประถมศึกษานั้นอาจจะเป็นการศึกษาในระบบโรงเรียน หรือการศึกษานอกโรงเรียน โดยอาจจะเป็นสถานรับเลี้ยงดูเด็กหรือศูนย์เด็กปฐมวัย และในบางกรณีอาจจัดเป็นชั้นเด็กเล็กหรือโรงเรียนอนุบาลได้”
1.3 แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติฉบับที่ 5 ( พ.ศ. 2525 - 2529) ก็ได้กำหนดนโยบายเกี่ยวกับการศึกษาปฐมวัยไว้เช่นกัน โดยได้เน้นถึงความสำคัญของเด็กก่อนวัยปฐมศึกษาเป็นเป้าหมายสำคัญ ทั้งนี้เพราะเด็กวัยนี้กำลังประสบปัญหาในเรื่องขาดอาหาร ขาดหลักประกันทางสาธารณสุขและทางด้านการศึกษา ฉะนั้นรัฐบาลจึงได้กำหนดนโยบายเกี่ยวกับการจัดการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษา ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ว่า “รัฐจะสนับสนุนให้ท้องถิ่นและเอกชนจัดให้มากที่สุด โดยรัฐจะจัดให้มากที่สุดโดยรัฐจะจัดทำเพียงเพื่อเป็นตัวอย่าง การจัดการศึกษามุ่งเสริมสร้างการโภชนาการที่ถูกต้องและเตรียมความพร้อมทุกด้านเพื่อเข้ารับการศึกษาระดับต่อไป”
1.4 แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2530 - 2534) ได้กำหนดนโยบายและเป้าหมายในการจัดการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษาไว้ว่า รัฐจะมุ่งขยายการจัดการศึกษาระดับนี้ไปสู่ส่วนภูมิภาคชนบท ส่งเสริมให้เอกชนจัดโรงเรียนอนุบาลสำหรับเด็กวัย 3 – 5 ปี ให้มากขึ้น และรัฐจะส่งเสริมให้เอกชนจัดโรงเรียนอนุบาลให้โรงเรียนร่วมกับชุมชนดำเนินการในพื้นที่มีปัญหาทางการศึกษาทางเศรษฐกิจ และพื้นที่ชนบทสำหรับในเขตเมืองจะจัดเป็นตัวอย่างและเพื่อการวิจัย โดยมุ่งเน้นการเตรียมความพร้อมของเด็ก
1.5 แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2535 - 2539) กำหนดวัตถุประสงค์ในการจัดการศึกษาระดับก่อนประถมวัยไว้ว่า เพื่อจัดและส่งเสริมให้เด็กก่อนประถมศึกษาได้รับการพัฒนาทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ให้สอดคล้องหลักจิตวิทยาพัฒนาการ และให้มีการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าเรียนระดับประถมศึกษาอย่างทั่วถึง
1.6 แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540 - 2544 ) ระบุบการพัฒนาศักยภาพของคนไทยทุกคนอย่างเท่าเทียมกันจะต้องเริ่มตั้งแต่การเตรียมความพร้อมของเด็กปฐมวัยไปจนตลอดชีวิต และกำหนดเป้าหมายว่าเด็กปฐมวัยทุกคนต้องได้รับการเตรียมความพร้อมอย่างน้อยปีก่อนเข้าเรียนในระดับประถมศึกษา และขยายการบริการการศึกษาปฐมวัย (3 – 5 ปี )จากร้อยละ 65 เป็นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90 นอกจากนี้ในส่วนของเด็กปฐมวัยจึงได้กำหนดเป้าหมายไว้คือ “เพิ่มปริมาณการเตรียมความพร้อมทุกด้านของเด็กปฐมวัย ( 0 – 5 ปี ) อย่างมีคุณภาพ” ระบุว่าจะมีการเตรียมความพ้อมโดย
1) สนับสนุนและส่งเสริมให้เยาวชน คู่สมรส พ่อแม่มีความรู้เกี่ยวกับชีวิตครอบครัวและวิธีดูแลลูกที่ถูกต้อง เหมาะสม โดยมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานการดำเนินงานไปในทิศทางเดี่ยวกัน
2) สนับสนุนและส่งเสริมให้เด็กก่อนวัยเรียนได้รับบริการการเตรียมความพร้อมในรูปแบบต่างๆ เช่น ศูนย์พัฒนาเด็ก สถานรับเลี้ยงเด็กในที่ทำงานและสถานประกอบการ โดยดำเนินร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน ชุมชน และครอบครัว
3) สนับสนุนให้เด็กทุกคนได้รับการส่งเสริมด้านโภชนาการอย่างเพียงพอและมีคุณภาพ
1.7 แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545 - 2559) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคนอย่างรอบด้านและสมดล เพื่อเป็นฐานหลักของพัฒนา และกำหนดนโยบายหลักเพื่อการดำเนินการว่า มีการพัฒนาทุกคนตั้งแต่แรกเกิดจนตลอดชีวิตให้โอกาสเข้าถึงการเรียนรู้โดยกำหนดเป้าหมายให้เด็กปฐมวัยอายุ 0 – 5 ปี ได้รับการพัฒนาและเตรียมความพร้อมทุกด้านเข้าสู่ระบบการศึกษา และกำหนดกรอบการดำเนินงานคือ
1. ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาและเตรียมความพร้อมของเด็กปฐมวัยในรูปแบบที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้การศึกษาแก่พ่อแม่ผู้ปกครอง รวมทั้งผู้ที่เตรียมตัวเป็นพ่อแม่
2. ส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาปฐมวัยให้มีคุณภาพ ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายเพื่อพัฒนารากฐานพัฒนาการของทุกชีวิตอย่างเหมาะสม
3. จัดบริการการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งที่เป็นการศึกษาในระบบ นอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่อให้บุคคลสามารถเข้าถึงบริการทางการศึกษาที่หลากหลายเพื่อการเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่องตามความต้องการและความสนใจ
จะเห็นได้ว่าตามแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติฉบับที่ผ่านมารัฐได้มีนโยบายเกี่ยวกับการจัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยอย่างต่อเนื่องและพัฒนาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆคือ ในช่วงแผนการพัฒนาการศึกษาแห่งชาติฉบับที่ 3, 4 และ 5 (พ.ศ. 2515 - 2529 ) รัฐยังไม่ได้รับภาระในการจัดการศึกษาปฐมวัยและสนับสนุนให้เอกชนดำเนินการ ส่วยแผนพัฒนาการการศึกษาแห่งชาติฉบับที่ 6 รัฐได้ให้ความสำคัญกับการจัดการศึกษาปฐมวัยเพิ่มมากขึ้นคือ นอกจากสนับสนุนให้เอกชนจัดแล้วรัฐยังสนับสนุนให้โรงเรียนของรัฐในท้องถิ่นห่างไกล จัดการศึกษาในระดับนี้เพิ่มมากขึ้นจนกระทั้งถึงแผนที่ 7, 8 และ 9 เน้นการพัฒนาเด็กเพื่อเตรียมความพร้อมในทุกด้านทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา อย่างสมดุลในรูปแบบที่หลากหลายทั้งในระบบ และนอกระบบ และให้ความสำคัญกับการให้การศึกษาแก่พ่อแม่ผู้ปกครองเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับลูกตั้งแต่แรกเกิดถึง 5 ปี
หลังจากนั้นอาจารย์ก็ดูแผนและให้แก้แผนใหม่หมด
การประเมิน
ประเมินอาจารย์ : อาจารย์ให้คำแนะนำดี สอดแทรกความรู้ได้ดี
ประเมินตนเอง : ตั้งใจเรียน สนุกและตั้งใจฟัง
ประเมินเพื่อน : ตั้งใจเรียน ตั้งใจฟังที่อาจารย์สอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น